วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หลวงปู่เสาร์


เกิด วันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๐๒ ที่บ้านข่าโคม ตำบลหนองขอน อำเภอเมืองจังหวัดอุบลราชธานี ประวัติเกี่ยวกับนามเดิมและบิดามารดาไม่มีบันทึกไว้

อุปสมบท ที่วัดใต้ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ต่อมาได้เป็นเจ้าอาวาสวัดใต้และได้ญัตติเป็นธรรมยุตที่วัดศรีทอง (ปัจจุบันคือวัดศรีอุบลรัตนาราม มีพระครูทา โชติปาโล เป็นพระอุปัชฌาย์ เจ้าอธิการสีทา ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ภายหลังได้มาอยู่ที่วัดเลียบ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี

การศึกษา ได้ศึกษาอักษรธรรม อักษรขอม อักษรไทยน้อย และหนังสือไทย

ญัตติเป็นพระธรรมยุติกนิกาย หลวงปู่เสาร์เป็นพระภิกษุผู้มีความเพียรเป็นเลิศ มีความสงบเสงี่ยมกิริยามารยาทอ่อนน้อม สุขุมพูดน้อย มีอัธยาศัยน้อมไปทางวิปัสสนา ถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด ได้เดินธุดงค์เจริญสมณธรรมตามป่าเขา และจำพรรษาตามป่าเขาในถิ่นต่างๆทั่วภาคอีสานเป็นเวลาหลายพรรษา การที่หลวงปู่เสาร์เป็นผู้เจริญด้วยศีล สมาธิ ปัญญา และพรหมวิหารธรรม เมื่อกลับจากธุดงค์ท่านได้นำความรู้มาเผยแพร่สั่งสอนแก่ลูกศิษย์ทั้งหลาย และได้เปิดสำนักปฏิบัติธรรมขึ้น ณ วัดเลียบ ลูกศิษย์ของท่านที่มีชื่อเสียง เช่น หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ในเรื่องวงศ์ธรรมยุตในภาคอีสาน หลวงปู่เทสก์ได้กล่าวถึงหลวงปู่เสาร์ไว้ดังนี้ “ท่านอาจาร์เสาร์ แท้ที่จริงควรจะมีประวัติไว้อ่านกันสนุกบ้างก็จะดีแต่นี้ไม่ค่อยจะเห็น ประวัติของท่าน หรือมีข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ ได้ยินแต่ท่านเล่าให้ฟังว่า เป็นสมภารอยู่วัดเลียบได้ ๑๐ กว่าพรรษา คิดเลื่อมใสในภาคคณะธรรมยุต จึงยอมสละญัตติเป็นธรรมยุต ฆ้อง กลอง สำหรับตีในงานประเพณีทำบุญอึกทึกครึกโครมในสมัยนั้น ซึ่งมีอยู่ประจำวัดของท่าน ท่านก็สละทิ้งหมด ญัตติเป็นธรรมยุต แล้วก็อยู่วัดนั้นต่อมา พวกที่เขาไม่ชอบ เขาก็โกรธ พวกที่ชอบเขาบอกว่า ของเหล่านั้นไม่จำเป็น เป็นสงฆ์ขอให้ปฏิบัติถูกต้องตามธรรมวินัยก็แล้วกัน ข้าพเจ้าก็ลืมถามไปว่า ภูมิลำเนาของท่านเกิดบ้านใด อำเภอใด มารดาบิดาพี่น้องของท่านมีกี่คน แต่เชื่อว่าท่านอยู่ใกล้เมืองอุบลฯ นี้แหละ เพราะท่านเคยพูดถึงเรื่องญาติของท่านบวชแล้วไปอยู่หลวงพระบางเพราะคนชาวหลวง พระบางชอบใจได้มานิมนต์ญาติของท่านไป ท่านนั้นก็ลืมชื่อไปอีกเหมือนกัน ไม่ทราบว่าชื่ออะไร จึงน่าเสียดายประวัติของท่านมาก ไม่มีใครบันทึกไว้ ส่วนข้าพเจ้าเองก็ไม่คิดจะบันทึกเสียด้วย ทั้งๆที่ท่านเล่าให้ฟังสอดๆอยู่นั่นเอง มันจะเป็นเพราะพระกรรมฐานในขณะนั้นไม่คิดจะบันทึกอะไรทั้งหมด คิดจะทำความเพียรภาวนาอย่างเดียว การบันทึกนั้นบันทึกนี้ เรื่องราวต่างๆเป็นเหตุให้ยุ่งสมองทำอารมณ์ให้ฟุ้งมาก”

มรณภาพ ในอิริยาบถนั่งที่วัดมหาอำมาตยาราม อำเภอวรรณไวทยากรณ์ นครจำปาศักดิ์ ประเทศลาว เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๔ สิริรวมอายุ ๘๒ ปี ๓ เดือน ๑ วัน และได้อัญเชิญศพกลับมาจัดงานฌาปนกิจที่วัดบูรพาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เป็นกำลังสำคัญ


ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.dhammasavana.or.th/article.php?a=195

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น